เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับน้ำตาล อีกมุมอันตรายจากความหวาน
“หวานเป็นลม ขมเหมือนยา” เป็นคำที่คนไทยในอดีตเคยเตือนไว้ อาหารที่มีรสหวานส่วนใหญ่ทำให้เกิดโรคได้ ส่วนยาไทยที่ใช้รักษาโรคล้วนมีรสขม คนส่วนใหญ่ชอบอาหารหวานและเครื่องดื่ม คุณอาจไม่เคยรู้ว่าความหวานเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และถ้าเราสามารถลดอาหารที่มีรสหวานลงได้ เราจะหยุดโรคต่างๆ
นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ แพทย์ที่จบการแพทย์แผนปัจจุบันแต่เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ปัจจุบันให้คำแนะนำเรื่องโภชนาการรักษาโรคแทนยา ดร.เปี่ยมโชค ได้เขียนหนังสือชื่อ “ทำไมป่วย? ความรู้ด้านสุขภาพอีกแง่มุมหนึ่งที่แพทย์ของคุณอาจไม่เคยบอกคุณมาก่อน” ข้อมูลนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านเพราะได้รวบรวมงานเขียนและงานวิจัยในต่างประเทศไว้มากมาย มีบางตอนที่น่าสนใจและผู้อ่านหลายคนอาจไม่เคยรู้จักมาก่อนและเผยแพร่เพื่อประโยชน์สาธารณะดังนี้
จากหนังสือ “Lick the sugar habit” โดย Nancy Appleton ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1992 เธอเป็นปริญญาเอกด้านโภชนาการทางคลินิก มี 110 โรคและอาการของการกินหวาน เรียกได้ว่าโรคที่เราฮิตในยุคนี้เกิดจากน้ำตาลเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ทำให้ฟันผุ ทำให้กระดูกผุ ทำให้แก่ก่อนวัย โรคอ้วน ทำให้ต้องอดอาหาร เรนาลินอย่างรวดเร็วในเด็ก, หอบหืด, ภูมิแพ้, กลากในเด็ก, ปวดหัวไมเกรน, โรคข้ออักเสบ, ริดสีดวงทวาร, ต้อกระจก, สายตา สั้น ซึมเศร้า ไขมันในตับเพิ่มขึ้น ตับอ่อนถูกทำลาย เบาหวาน ความดันโลหิตสูง นิ่วในไต โอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น โอกาสเป็นมะเร็งลำไส้เพิ่มขึ้น ปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งถุงน้ำดี เป็นต้น
ที่น่าสนใจคือ น้ำตาลทำให้เกิดสมาธิสั้น ความวิตกกังวลในอารมณ์แปลก ๆ ในเด็ก ตัวอย่างนำมาจากวารสารการแพทย์ทางเลือก ฉบับเดือนกันยายน 2547 หน้า 24 ในหัวข้อ เหตุผลที่แท้จริงที่ขนมทำให้เด็กกระปรี้กระเปร่า การศึกษานี้ดำเนินการในอังกฤษพบว่า:
ความหวานและสีผสมอาหารที่มีอยู่ในขนมหวาน ลูกอม และน้ำอัดลมมีส่วนทำให้เกิดอาการสมาธิสั้นในเด็กที่รับประทาน การศึกษานี้เกี่ยวข้องกับเด็กวัย 3 ขวบจำนวน 277 คน โดยสังเกตพฤติกรรมของพวกเขาเมื่อรับประทานอาหารที่มีรสหวาน แต่งสี และไม่หวาน ไม่พบสีผสมอาหาร เมื่อลูกกินอาหารหวาน มีส่วนผสมของอาหาร และอาหารไม่หวาน ไม่มีสี พฤติกรรมสมาธิสั้นลดลงมากกว่าครึ่ง กลุ่มวิจัยแนะนำว่าอาการสมาธิสั้นลดลง คือ ให้เด็กกินอาหารหวาน สีผสมอาหารลดลง เน้นที่อาหารและขนมพร้อมทาน ขนมหวาน ลูกอม น้ำอัดลม ของขบเคี้ยวและของขบเคี้ยวพร้อมรับประทาน
นอกจากนี้บางคนอาจจะไม่ทราบว่า น้ำตาลสามารถยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว (Sugar suppress lymphocyte) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือไปกดภูมิคุ้มกันนั่นเอง จากหนังสือ Dr. James Braly 1992 ชื่อ DR.BRALY’S FOOD ALLERTY & NUTRITION – REVOLUTION หน้า 242 เรื่อง “กินอย่างไร” มีข้อความแปลเป็นภาษาไทยว่า “ในบางคน น้ำตาลไปยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งเป็นตัวหลักของภูมิคุ้มกัน (เซลล์เม็ดเลือดขาวมีบทบาทสำคัญในการทำลายเชื้อโรค และปกป้องร่างกายจากสิ่งแปลกปลอม) ยกตัวอย่างง่ายๆ หากคุณดื่มน้ำโซดาหรือกาแฟหนึ่งแก้วใส่น้ำตาล ตามด้วยของหวาน จำนวนเม็ดเลือดขาวของคุณจะลดลง ร้อยละ 75 และจะใช้เวลา 6-8 ชั่วโมงก่อนที่คุณจะกลับมาทำงานได้ตามปกติ”
จาก Low Carb Energy ฉบับเดือน มีนาคม 2548 หน้า 87 เรื่อง “SUGAR a Serious dissolve you can break.” รายงานนี้เขียนโดย Dr. Christine Horner เล่าเรื่องภูมิคุ้มกันกดหวานแปลเป็นภาษาไทยว่า “นักวิจัยพบว่าการกินของหวานไปกดภูมิคุ้มกัน โดยไปยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า T lymphocytes ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกินของหวานชิ้นใหญ่ ความหวานจะยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว 50-94% เป็นเวลา 5 ชั่วโมง”
นอกจากนี้ หนังสือ การปรับปรุงการแสดงออกทางพันธุกรรมในการป้องกันโรคของริ้วรอย โดย Jeffery S. Bland, Ph.D. และสถาบันเวชศาสตร์การทำงาน หน้า 69 ปี 2541 แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีน้ำตาลในเลือดสูง น้ำตาลจะกระตุ้นอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ได้ง่ายขึ้นและมากขึ้นภายในหลอดเลือด และอนุมูลอิสระเหล่านี้จะทำลายผนังหลอดเลือดโดยทั่วไป และทำลายทุกสิ่งที่เลือดไหลไปยังทุกเซลล์ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยโรคมะเร็งควรตระหนักว่าในรายงานจากสถาบันวิจัยกอร์ดอนแห่งสหรัฐอเมริกา “เซลล์มะเร็งมีตัวรับกลูโคสมากกว่าเซลล์ปกติถึง 24 เท่า ซึ่งบ่งชี้ว่าเซลล์มะเร็งมีความสามารถในการดูดซับกลูโคส ดูดซับน้ำตาลได้อย่างรวดเร็วและในปริมาณมาก ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งที่กินของหวานจึงเท่ากับส่งเสบียงไปยังเซลล์มะเร็งโดยตรง แม้แต่ความหวานและน้ำตาลก็อาจเป็นอันตรายและทำให้เกิดโรคและปัญหามากมาย แต่บางคนถึงรู้ก็เลิกยาก เพราะผลวิจัยชี้น้ำตาลเป็นสารเสพติดอีกชนิดหนึ่ง!?
จากหนังสือของ Dr. James Braly ในปี 1992 Dr. Braly’s Food Allergy & Nutrition-Revolution, หน้า 455, “Corn Syrup” น้ำเชื่อมข้าวโพดเป็นสารให้ความหวานที่พบในอาหารแปรรูปและเครื่องดื่มเกือบทั้งหมด จากลูกอม กระเป๋า ลูกอม และโซดา “เสพติดและทำให้เกิดภูมิแพ้สูง”
ในนิตยสาร Low Carb Energy ฉบับเดือนมีนาคม 2548 หน้า 86 เรื่อง “SUGAR A Serious Added you can break” รายงานนี้เขียนโดย Dr. Christine Horner คนอเมริกันบริโภคน้ำตาลเฉลี่ย 60 กก./คน/ปี และจำนวนที่น่ากลัวคือ โดยเฉลี่ยแล้ว เด็กกินมากเป็นสองเท่าของผู้ใหญ่ และในหนังสือเล่มนี้ก็เขียนในลักษณะเดียวกับ LICK THE SUGAR HABIT คือ ความหวานเพิ่มโอกาสเกิดโรคร้ายแรงหลายอย่าง เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง หอบหืด ข้ออักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ ไมเกรน ซึมเศร้า โรคเหงือก ฟันผุ เบาหวาน โรคอ้วนกระดูกผุ โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น
ในหนังสือเล่มนี้ เนื้อหาต่อไปนี้เขียนเกี่ยวกับการเสพติด: ความหวานกระตุ้นสมองในตำแหน่งเดียวกับมอร์ฟีน เฮโรอีน และโคเคน และตามรายงานของ NEURO IMAGE ฉบับเดือนเมษายน 2547 ซึ่งเป็นบทความวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเพนซิลวาเนีย เมื่อเราต้องการ กินของหวานกระตุ้นสมอง สมองมีปฏิกิริยาเหมือนเราอยากกินมอร์ฟีน เฮโรอีน โคเคน และเมื่อเรากินของหวาน สมองจะตอบสนองเหมือนเรา มอร์ฟีนที่กินเข้าไป เฮโรอีน และโคเคน โดยให้อาหารและน้ำหวานแก่หนู เมื่อเวลาผ่านไปหนูก็กินน้ำหวานมากขึ้นเรื่อยๆ และกินน้อยลงและเมื่อน้ำหวานหยุดลง หนูจะมีอาการแดงทันที คือ ปากสั่น ตัวสั่น และเมื่อให้ดื่มน้ำหวาน อาการเหล่านี้จะหายไป
คราวนี้หนูแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้น้ำหวานแก่พวกเขา กลุ่มที่สองให้มอร์ฟีน เริ่มจากกลุ่มแรก หนูได้รับน้ำหวาน เมื่อหยุดน้ำหวาน หนูจะมีอาการแดงทันที กล่าวคือ ปากสั่น ตัวสั่นอีกครั้ง แต่คราวนี้ naloxone ถูกมอบให้กับหนูและพบว่าหนูหายจากอาการสั่นและตัวสั่น เฮโรอีน) แล้วเริ่มให้มอร์ฟีนแก่หนูอีกกลุ่มหนึ่ง จนกระทั่งหนูติดมอร์ฟีนและเลิกให้มอร์ฟีนแก่พวกมัน หนูตัวแดงทันที ปากสั่น ตัวสั่น เขาให้ยานาล็อกโซน และหนูก็หายไปทันที อันไหนก็เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อรู้ข้อมูลข้างต้นแล้ว ต่อไปใครอยากปากอร่อยแบบหวานๆ บ้าง? ลองคิดดูดีๆ ว่าเราต้องการจะหายจากโรคที่เราเป็นด้วยการเลิกกินของหวานหรือไม่?
#เรองควรรเกยวกบนำตาล #อกมมนงภยจากความหวาน